CBRsCLUB
 
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 



หน้า: [1] 2   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ก่อนจะตัดสินใจซื้อรถใหม่สักคัน สำหรับบางท่านที่คิดจะขยับ cc ลองแวะมาอ่านสักนิด  (อ่าน 21151 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
atthaphon_s
หักซ้าย หักขวา ไม่มีล้ม
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 288



« เมื่อ: 18, กุมภาพันธ์ 2014, 08:49:10 PM »

User Review
ช่วงนี้กระแสของ CBR300R มาแรงไม่แพ้ CBR650 เลย ซึ่งแน่นอนว่าช่วงนี้อาจจะมีใครหลายๆ คนที่กำลังจะหารถมาใช้สักคันเกิดความลังเลสงสัยว่า เราควรเลือกคันใหนดีที่ใช่หรือชอบ อันนี้มันก็เป็นปัญหาโลกแตกอีกเช่นเคย เอาเป็นว่าลองมาดู Review ของผมดีกว่า ( Review ของ CBR250R ) บางคนอาจงงว่าผมมารีวิว 250 ตัวเก่าทำไมในนี้ จริงๆ CBR300 เองนั้นห้องแคร้งและชิ้นส่วนโครงสร้างหลักๆ รวมๆ ยังคงใช้ของเดิมอยู่ยกเว้นชุดระบบเบรก แฟริ่ง และข้อเหวี่ยง รวมๆ มันก็ยังเป็นรถคันเดิม แต่ประเด็นที่ผมจะมา Review เจ้าตัวเล็กให้ชมก่อนแต่ก็แน่นอนบางคนอาจจะสงสัยว่า รถก็ออกมาพักใหญ่ๆ แล้วและกำลังจะปรับเป็น 300cc แล้ว จะมา รีวิวทำไมให้เสียเวลา สำหรับผมแล้ว “ระยะทางพิสูจน์ม้า การเวลาพิสูจน์คน” รถ 1 คันตอนออกมาใหม่ๆ อะไรๆ มันยังไม่สามารถวัดได้ว่ามันดีจริงหรือแค่โฆษณา ซึ่งแน่นอนว่ารถคันนี้ฮอนด้าไม่ได้เป็นสปอนเซอร์อะไรให้ผมอยู่แล้ว เสียเงินจากน้ำพักน้ำแรงดาวมันมาและผ่อนมากับมือ ตั้งแต่ถอยรถมาเดือนธันวาคม ปี 2011 จนถึงปี 2014 ณ วันนี้ และแน่นอนตอนซื้อรถคันนี้มา มันก็มีหลายๆ คำถามที่คนรอบข้างถามมาเช่น ทำไมไม่เอาพวก CBR400 หรือตัวที่ใหญ่กว่า บลาๆๆ ฯลฯ,รถราคาขนาดนี้ไปซื้อรถยนต์ดีกว่า ฝนตกก็ไม่เปียก,เหมือนรถเก็บเงินกู้ที่แถวภาคกลางใช้เลย, แม้แต่ไม่พ้นกับการเปรียบมวยกับคู่แข่งที่ cc เท่ากันแต่เป็นสองสูบของอีกค่าย ซึ่งคำถามเหล่านี้ผมคิดเอาไว้ในใจแต่แรกแล้วว่ามันต้องมีคนถามแบบนี้  แต่ผมก็เพิกเฉยและไม่สนใจต่อสิ่งเหล่านี้เพราะ “ความพอใจของเรา เงินของเรา ความต้องการของเรา” เราเลือกเอง และไม่ไปหนักกระบาลใครเป็นอันว่าพอ “พอเพียง และพอใจในสิ่งที่มี” เหตุผลที่ผมมาเลือกที่จะคร่อมเจ้า CBR250R สูบเดียวคันนี้ เท้าความในอดีต ชีวิตผมตอนมัธยมตอนต้นผมก็คร่อม 2 ล้อไปโรงเรียนตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งแน่นอนว่าที่ผ่านมารถที่ผมครอบครองมักจะเป็นรถครอบครัว และแน่นอนผมก็เคยผ่านการเป็นแว๊นมาก่อน ( เขาเรียกผมช่างในแทรค ) เพราะผมจะไม่ค่อยแว้น แต่จะคอยซ่อมรถและโมเครื่องให้กับเพื่อนๆ ในกลุ่มมาตลอด จนมีอยู่วันนึงผมได้มีโอกาสลองขับรถที่มี cc ขนาดใหญ่และเป็น bigbike แบบจริงๆ ครั้งแรกคือ CBR400RR และแน่นอนหลังจากวันนั้นความคิดผมก็เปลี่ยนไปทันทีและเริ่มรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และเริ่มค้นพบสัจธรรมว่า “รถเล็กที่เอามาโมเพื่อความแรงสุดท้ายมันก็แรงสู้รถสปอร์ทแท้ๆ ไม่ไหว ทำไปก็สูญเปล่า เสียเงิน เสียเวลา เสียของ เพราะรถที่ดัดแปลงสภาพสุดท้ายความทนทานมันไม่เท่าของเดิมติดรถ” หลังจากนั้นก็พยายามจะเก็บเงินเพื่อหารถประเภทนี้มาไว้ในครอบครองสักคัน แต่แน่นอนว่าตอนเรียนยังขอเงินพ่อแม่ ยังทำงานเองไม่ได้ ก็ต้องได้แต่อดทนรอ และจนวันนั้นมาถึง และแน่นอนว่าการที่ผมเลือกรถคันนี้มาครอบครองก็ด้วยเหตุผลที่ว่า ขับในเมืองซะเป็นส่วนใหญ่ และความเร็วในเมืองไม่เกิน 100km/hr,ราคาอะไหล่ถูก,ค่าบำรุงรักษาต่ำ,ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง( เท่าที่รถประเภทนี้จะทำได้ คงไม่ต้องไปเท่าเวฟหรอก ไม่งั้นก็ขับเวฟเหอะ ),ราคารถไม่สูงมาก,ขายต่อได้ราคา,ทะเบียนแท้( ตัดรถ inv ไปได้เลย ),ผ่อนชำระได้,ความเร็วปลายสัก 140+ ( เอาพอไม่น่าเกลียด ) และโจทย์ก็มาลงที่เจ้ารถคันนี้ทันที ทุนเดิมเป็นคนที่ชอบฮอนด้า แต่… เวลาคนอื่นซื้อผมมักจะไม่แนะนำ( ยังไงหว่า ) ก็ร่ายกันมายาว มาดูกันเลยดีกว่า

บันทึกการเข้า

atthaphon_s
หักซ้าย หักขวา ไม่มีล้ม
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 288



« ตอบ #1 เมื่อ: 18, กุมภาพันธ์ 2014, 08:49:37 PM »

ความประทับใจครั้งแรก

1.   เป็นรถที่ราคาค่าตัวถูก ตอนแรกกะว่าจะซื้อสดตัวธรรมดา แต่ไปๆ มาๆ ก็เอาเงินมาดาวน์ตัว ABS ดาวน์ไป 75,000บาท ตอนออกรถจ่าย 78,000 บาท รวมค่าจิปาถะ และผ่อน 2550x24 งวด เบ็ดเสร็จเป็น 139,200.- ซึ่งตอนนั้นหากซื้อสดตัว ABS จะอยู่ราวๆ  127,000บาท นั่นก็เท่ากับว่า ดอกเบี้ย 24 เดือนแค่ 12,200บาท ( ก่อนหน้าลองเช็คกับในเวปบอร์ดต่างๆ แล้ว คนอื่นผ่อนโหดกว่าผมมาก )
2.   ราคาอะไหล่ไม่โหด ( ยกเว้นบางชิ้น ซึ่งก็ธรรมดาของรถประเภทนี้ซึ่งอะไหล่ชิ้นหลักๆ สำคัญๆ มักจะแพงเสมอ แต่กับรุ่นนี้ราคาถือว่ารับได้ )
3.   รูปลักษณ์ถือว่าไปวัดไปวาได้ ( เรื่องรูปร่างหน้าตาผมไม่ขอออกความคิดเห็นเพราะมันรสนิยมของใครของมัน แต่ผมชอบ VFR1200 อยู่แล้ว เลยค่อนข้างจะ Ok กับโฉมนี้ )
4.   ทะเบียนแท้ สามารถซื้อแบบระบบเงินผ่อนได้( แน่นอนรถผลิตในประเทศ )
5.   ตัวรถออกแบบโทนกลางๆ ทำความคุ้นเคยค่อนข้างง่าย น้ำหนักรถไม่เยอะ คล่องตัวมากเมื่อยู่ในเมือง ท่านั่งค่อนข้างสบายไม่ว่าจะขับในเมืองหรือออกต่างจังหวัด
6.   ออปชั่นของตัวรถให้มาค่อนข้างจะดีไม่ขาดตกบกพร่องใดๆ เลย ( เทียบกับคู่แข่ง ณ เวลานั้น  ไม่นับเรื่องจำนวนสูบเพราะไม่เน้น )
7.   ประหยัดน้ำมัน ( เท่าที่รถประเภทนี้จะทำได้ ) ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง ราวๆ 27-31 กิโล/ลิตร แล้วแต่สภาพดินฟ้าอากาศและสภาพถนนรวมถึงน้ำหนักบรรทุกลดหลั่นกันไปตามนั้น
8.   ความเร็วในช่วง 90-140 นับว่าดี จะแซงหรือทำอะไรพละกำลังของตัวเครื่องตอบสนองได้ดั่งใจ ( ตรงกับที่ต้องการเป๊ะๆ )
ภาพวันแรกที่รับมันเข้ามาในชีวิต






 
บันทึกการเข้า
atthaphon_s
หักซ้าย หักขวา ไม่มีล้ม
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 288



« ตอบ #2 เมื่อ: 18, กุมภาพันธ์ 2014, 08:50:16 PM »

สิ่งที่ไม่ปลื้ม

1.   ความเร็วในช่วงหลังจาก 130 จะเริ่มขึ้นช้าและเริ่มจะแซงชาวบ้านได้ยากขึ้น ( กระดึบๆ แซงเอาว่างั้น ) และเมื่อความเร็วปลายที่  150up อย่าหวังจะแซงใคร ไม่เหลือกำลังจะทำอะไรใครได้อีก ยิ่งซ้อน 2 ยิ่งตายตั้งแต่ 140 เลยทีเดียว ข้อเสนอแนะ ถ้าพวกที่บ้า top speed และหวังอัตราเร่งที่หวือหวาเหมือนพวกตัวใหญ่ๆ แล้วหละก็ ให้มองข้ามรถคันนี้ไปได้เลย เพราะมันตอบโจทย์ไม่ได้เลย ( แต่ก็ถือว่าเก่งแล้วที่รถสูบเดียว cc ขนาดนี้จะทำได้ )
2.   ยางเดิมติดรถเกือบพาไปจบชีวิตมาหลายรอบ อันนี้ตอนมาใหม่ๆ สองเดือนแรกไม่เท่าไรยังไม่สำแดงอะไรออกมา แต่พอหลังจากใช้ได้ 5 เดือนเหมือนอยากจะถอดเอาไปขว้างทิ้งเลยจริงๆ คือ ถ้าเอาไปโค้งเล่นในสนามแข่ง พื้นเรียบๆ ไม่มีฝุ่น ไม่มีน้ำ ไม่มีหลุมบ่อบ้าบอคอแตก ยางเดิมทำได้ดี แต่แน่นอนว่าผมใช้รถจริงๆ และใช้รถทั้งวันไม่ได้วิ่งแทรคในสนาม และมันคือถนนจริง และยางคู่นี้โคตรน่ากลัว เจอถนนเป็นลอนลูกคลื่นเข้าหน่อยรถแทบจะแฉลบ เจอเส้นกลางถนนเข้าหน่อยก็ลื้นใส่ พอเทโค้งเจอน้ำเข้าหน่อยมีดิ้นใส่ เวลาเบรกกะทันหันต่อให้มี abs รถก็ยังสามารถไถลได้อยู่เพราะยางมันไม่เกาะถนน สรุปง่ายๆ ไม่พอใจอย่างแรงกับยางตัวนี้ ( มาเปลี่ยนไปใช้เป็น Dunlop Alpha 12 ตอน 14xxx กิโล ความสามารถผิดกันหน้ามือกับหลังตีน แต่ราคาก็โหดบรมเหมือนกัน )
3.   เมื่อความเร็วรถเกิน 130km + แรงสั่นสะเทือนเรียกได้ว่าสะเทือนมือจนชาไปเลย ( ถ้าได้ถุงมือดีๆ ก็ช่วยได้เยอะ และปรับท่านั่งให้ดีๆ หน่อยก็โอเค )
4.   ชิ้นส่วนบางชิ้นอย่างพวกแฟริ่งต่างๆ เมื่อขับเร็วๆ และเจอลมกระทบค่อนข้างจะมีเสียงดังพอสมควร( เป็นบางคัน ) ถ้าได้มาแนะนำให้หาโฟมกาวอัดไว้จะดีมาก
5.   สแตนด์รถค่อนข้างจะหวาดเสียวเพราะตำแหน่งมันออกแบบคือถ้าจอดไม่ดี หรือลมยางรถอ่อนสักหน่อยเหมือนรถจะล้มเอาซะให้ได้เลย
6.   ช๊อคอัพและระบบกันสะเทือนแรกๆ มาค่อนข้างจะกระด้าง ( แต่พอใช้ไปสักพักก็เริ่มจะกระเด้งกระดอนแทน ) ตอนนี้ก็แก้ปัญหาคือเติมลมยางให้อ่อนลงมานิดนึงก็ลดทอนอาการนี้ไปได้พอสมควร
7.   ช่างตามต่างจังหวัดตามบ้านๆ มักจะใบ้กินกับรถรุ่นนี้ และมักจะซ่อมหรือแก้อาการเสียไม่ได้ ( ผมเคยเจอหนักๆ คือหาน๊อตถ่ายน้ำมันเครื่องไม่เจอ ) เว้นแต่ถ้าคุณสามารถแก้ปัญหาเองได้ ข้อนี้ก็ตัดไป ถ้าคนดูแลไม่เป็นก็จบกัน ยกเว้นถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ อันนี้ก็รอดไปศูนย์ใหญ่เลยง่ายดี
8.   อะไหล่ไม่ค่อยมีสต๊อค และรอเบิกอะไหล่นานมากๆ ( ถ้าเทียบกับรถที่ผลิตในประเทศด้วยกันอย่างเวฟ หรือ คลิ๊ก ) แน่นอนว่ารถรุ่นนี้ไม่ใช่ตลาดหลักของประเทศอยู่แล้ว จำนวนรถมีน้อย การสต๊อคอะไหล่ก็น้อยตาม ยิ่งศูนย์ตามบ้านๆ ต้องเบิกเอาอย่างเดียว และมักจะติด back order อยู่หลายชิ้น ยกเว้นพวกอะไหล่สิ้นเปลืองเช่น ใส้กรองน้ำมัน,ใส้กรองอากาศ,โซ่,สเตอร์,หลอดไฟ,หัวเทียน,หมุดยึดแฟริ่ง ถ้าเป็นอะไหล่พวกนี้นะมีแน่นอนและมักจะซื้อได้ทันที แต่ที่ไม่ปลื้มคือพอติดแบคออร์เดอร์ทีนานมากๆ แต่ถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่เป็นไร ศูนย์ใหญ่ กับ วรจักร เชิญไปหาเทียบเอาตามสบายได้เลย
9.   วัสดุและงานประกอบบางจุดก็กะหลั่วไปหน่อย ( ยังพออภัยเพราะราคามันมาแค่นี้ )



บันทึกการเข้า
atthaphon_s
หักซ้าย หักขวา ไม่มีล้ม
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 288



« ตอบ #3 เมื่อ: 18, กุมภาพันธ์ 2014, 08:50:52 PM »


ปัญหาที่พบหลังจากที่คบกัน

 ปัญหาที่พบแน่นอนรถทุกรุ่นทุกยี่ห้อมันย่อมมี bug เฉพาะของมัน ถ้าบอกใช้แล้วไม่มีปัญหาอะไรเลยถือว่าคุณทำบุญมาดีมากๆ ไม่มีรถคันใหนจะเพอร์เฟคไปซะทุกอย่าง ส่วนในที่นี้แต่ละคนอาจเจอกันมาไม่เหมือนกัน หนักเบาก็ว่ากันไป รถของผมถ้าตามตัวเลขรถหละก็เป็นคันที่ 2,8xx คัน และตามคำล่ำลือเขาลือกัน( มั๊ง ) ว่า เป็น lot ที่มีปัญหายก lot จริงแท้แค่ใหน ลองมาดูว่าเจออะไรไปบ้างระหว่างใช้งาน
1.   ปัญหาการสั่นสะเทือนที่แฮนด์ ขนาดตุ้มเดิมที่เป็นเหล็กยังสะเทือน ถ้าใช้ตุ้มแต่งนั้นเลิกคิดไปได้เลย  ( อันนี้แน่นอนปัญหามันเป็นปัญหาลูกโซ่แต่เอาเป็นว่าอธิบายกันทีละเปราะ ) ตอนแรกที่พบมาจากน๊อตยึดหูเครื่องบางตำแหน่งไม่แน่น เลยเอาไปให้ศูนย์กวดน๊อตทุกตัวใหม่ อาการก็ดีขึ้น ( แก้ไขไปตอน 1700 กิโล )
2.   ชิลหน้ามีเสียงดัง เมื่อความเร็ว 120+ ปัญหานี้ตอนแรกผมใช้โฟมกาวแปะตามขอบแฟริ่งในบางจุดเพื่อป้องกันการกระทบกันของแฟริ่ง และก่อนหน้าขันน๊อตยึดหูเครื่องใหม่ ทำให้การสั่นสะเทือนมีน้อยลง ตอนนี้ วิ่ง 150+ เสียงไม่มีให้ได้ยินอีกเลย ( แก้ไขไปตอน  1300 กิโล )
3.   เปลี่ยนหลอดไฟท้ายกับหลอดไฟส่องแผ่นป้ายทะเบียนไป 2 ครั้งเพราะการสั่นสะเทือน ( หลังจากขันน๊อตยึดหูเครื่องใหม่ ก็ไม่เป็นอีกเลย เป็นอันจบ )
4.   ปัญหากำคลัทช์แล้วดับเมื่อรอบความเร็วสูง อันนี้แรกๆ รถผมเป็นบ่อยมากๆ จนแทบจะรำคาญ แต่พอหลังๆ มันก็หายไปเอง ไม่ได้ไปทำอะไรกับตัวเครื่องแต่อย่างใด เพราะแรกๆ ผมคิดในใจแล้วว่า สาเหตุมันเกิดจากความร้อน ไม่ก็แรงอัดน่าจะสูงเกินไป อาจจะเกิดจากการขันฝาสูบแน่น ไม่ก็พวกกล่อง ECM อาจจะยังเพี้ยนๆ จนตอนหลังพอใช้มาสักระยะพอเครื่องยนต์เข้าที่ ความร้อนคงตัว แรงดันก็ลดลงไปเอง สรุปไม่ต้องรื้อฝาสูบมาขันใหม่ให้เมื่อย ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วและการสั่นสะเทือนก็ลดลงไปกว่าเมื่อก่อนมาก
5.   สปริงแกนเกียร์หัก ทำให้เข้าเกียร์ไม่ได้ ส่งรถไปนอนศูนย์ 1 เดือนเพราะไม่มีอะไหล่ เป็นอะไรที่อนาถมากๆ สปริงตัวละ 10 บาท มึงจะสต๊อคหน่อยก็ไม่ได้ฟายแท้ๆ โทรด่า ap Honda อาทิตย์ละครั้งจนมันแก้ปัญหาให้ ( จริงๆ ผมจะไม่เอาไปให้ศูนย์ทำไห้ก็ได้ ) จริงๆ ผมรื้อฝาคลัทช์มาทำเองก็ได้ แค่ออกไปร้านอะไหล่ข้างนอกซื้อสปริงแกนเกียร์ของ Honda Wing มาตัดแกนออกก็ใช้แทนได้แล้ว ไม่ก็ของ Suzuki RC100 ก็ได้ แต่เนื่องจากไม่อยากดัดแปลงชิ้นส่วนใดๆ ก็เลยยอมรอไปแบบนั้นและถือว่ายังอยู่นระยะประกัน ศูนย์ควรจะรับผิดชอบตรงนี้ ปัญหานี้เกิดเมื่อตอน 20000 กิโล
6.   ประเก็นแคร้งกลางมีรอยซึม ( หลังท่อไอเสีย )แต่ไม่เยอะ ต้องวิ่งรถสัก 7-8 วัน น้ำมันเครื่องซึมทีนึง แต่ไม่ใช่ปัญหาซึมไม่เยอะ เลยไม่ผ่าไม่รื้อเพราะรื้อมาแล้วมันหลายเรื่องเลยใช้มันทั้งอย่างนั้นและพยายามเช็ดให้สะอาดก็พอ
7.   ยางเดิมคบไม่ได้คือ ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะ ถ้าตอนมันออกมาใหม่ๆ เพิ่งสัมผัสถนนแรกๆ และวิ่งในที่เรียบๆ อย่างแทรคสนามแข่ง มันก็เข้าโค้งได้มันส์มากๆ แต่…. พอมันมาอยู่บนถนนจริงๆ ถ้าใช้มาสักระยะ 2-3 เดือน อาการเริ่มออก เนื้อยางจะแข็งขึ้นกว่าเดิมและที่สังเกตได้ชัดตอนฝนตกใหม่ๆ หากขับรถเร็วๆ ตัวรถมักจะมีอาการแฉลบน้ำ ยิ่งเจอพื้นที่มีน้ำปริ่มๆ นี่น่ากลัวมากๆ เหมือนรถจะแฉลบลงข้างทางให้ได้เลยทีเดียว และที่สำคัญตอนเจอถนนไม่เรียบเป็นลอนและรวมถึงเส้นกลาง ล้อมีอาการลื้นไถลและสบัดอย่างเห็นได้ชัดเจน ยิ่งตอนเล่นโค้งนี่ยิ่งไม่เอาเข้าไปใหญ่ และที่สำคัญหากท่านใช้ engine break สังเกตได้ว่า หากท่านไม่รู้จังหวะหรือกะไม่ดี ล้อจะส่ายและสะบัดใส่ทันทีทันใดเลย ( แทนที่รถจะชะลอดันสะบัดซะงั้น ) ต้องค่อยๆ ลงแบบนิ่มๆ ก็พอช่วยได้ และที่สำคัญตอนเบรกต้องระวังหากยิ่งตอนช่วงฝนๆ บางทีกดเบรกทีรถยังสามารถไถลและเสียหลักได้ แม้จะมี ABS ก็ไม่ช่วยไรเลย( ก็ยางมันไม่เกาะ ไถลไปกับถนนเรียบร้อย ) จนสุดท้ายก็ยอมทนใช้มาจนถึง 14xxx กิโล และได้เปลี่ยนมาใช้ยาง Dunlop Alpah 12 และก็ใช้มาจนถึงตอนนี้ที่ 34xxx กิโล รวมรยางค์ทั้งสิ้นที่ใช้มา 20,000 กิโลแล้ว คุณภาพยางคงเส้นคงวาดีมากยังคงความนิ่มและหนึบดอกยางยังคงเหลืออยู่เกือบ 50% ก็ว่าได้และไม่เสียดายเลยกับเงิน 9300บาท ซึ่งทำให้ผมกลับมาห้าวได้อีกรอบ เพราะปัญหาบ้าบอคอแตกจากยางเดิมไม่พบเลยในยางตัวนี้แถมเกาะถนนดีเหมือนยางสลิคแกะดอกดีๆ นี่เอง ( ของดีตามราคา ว่างั้น )
8.   สวิทช์ Run-Off ค้าง อันนี้ทำเอาผมเกือบตายมาแล้วหลายรอบ ขับๆ อยู่ดีๆ เครื่องดับเองกลางอากาศ ( อาการเหมือนเปิดสวิทช์กุญแจใหม่ๆ และไฟหัวฉีดเพิ่งเริ่มทำงาน ) แรกๆ ผมก็ไม่ทันสังเกตอะไร แต่มีอยู่วันนึง กำลังขับรถแซงสิบล้อพี่ท่านดับเอากลางอากาศดีไอ้คันหลังที่กำลังจะแซงไม่ชนท้ายเอานับว่าบุญท่วมหัวเอามากๆ และตอนสุดท้ายสัก 13000 กิโล ไปดับเอาในปั๊มน้ำมัน น้ำมันเต็มถังแต่สตาร์ทไม่ได้ ผมเลยเข็นรถไปหน้าห้องน้ำปั๊ม พยายามเช็คไฟต่างๆ และพบว่า ไฟหัวฉีดไม่ทำงาน ผมเลยสงสัยอาการเหมือนสวิทช์ Run-Off ปิดอยู่และมันก็จริง พอผมเอานิ้วไปเคาะเบาๆ ที่สวิทช์ ปรากฏว่าไฟหัวฉีดทำงานและสตาร์ทเครื่องยนต์ได้อีกครั้งก็เลยขับรถกลับบ้านและรื้อออกมาดูปรากฏว่า แผ่น contac มันบิ่นและหลวม ทำให้สวิทช์ Run-Off ค้าง ผมเลยทำการดัดแผ่นทองเหลืองใหม่และทาจารบีใช้มาจนถึงทุกวันนี้ ( เคยเอาไปให้ศูนย์เช็คมาแล้วแต่หาสาเหตุไม่เจอ เอาไปลองกันเป็นวันๆ ก็ไม่เจอ ) สุดท้ายก็มาจบด้วยมือตัวเอง
9.   ( ข้อนี้ไม่ได้เกี่ยวกับตัวรถตรงๆ เอาเป็นว่าไม่ต้องนับก็ได้ ) เรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อตอนปีใหม่ที่ผ่านมานี้เอง ผมขับรถออกต่างจังหวัดตอนกลางคืน แล้วอยู่ๆ รถก็มีอาการแปลกๆ พอความเร็วรถแตะที่ 125+ ก็ไมล์จะเพี้ยนโดยความเร็วจะลงไปเหลือ 20-40 อะไรก็ว่ากันไป แต่ความเร็วของรถยังคงเดิมแต่ไมล์เพี้ยน พอขับไปอีก 10 กิโล อาการเริ่มหนักขึ้น คราวนี้กลายเป็นว่า ขับได้ไม่เกิน 125+ หากขับรถเกินกว่านั้นรอบเครื่องจะตัดเครื่องยนต์จะดับเองทันที และพอความเร็วเหลือ 80km/hr เมื่อไร เครื่องยนต์จะติดอีกครั้ง สุดท้ายผมก็ประคองมันกลับมายะลาได้ และได้ทำการตรวจสอบปรากฏว่ากล่องสัญญาณกันขโมยที่ติดไว้เสีย IC 8 ขาภาคจ่ายไฟเกิดอาการช๊อตไหม้ไป ( โชคดีที่ยังติดเครื่องได้ ) และมี c ไม้ไป 3 ตัว ซึ่งมันเกิดจากความชะล่าใจของผมเองตอนแรกมันก็มีอาการมาบ้างแล้ว แต่ผมดันฝืนไปซ่อมมันมาใช้ จนสุดท้ายผมถอดทิ้งไปแล้ว รถก็กลับมาปกติอีกครั้ง
10.   เคลมเรือนไมล์มาครั้งนึง ไฟบอกความเร็วดับไปครึ่งจอ เมื่อตอน 24xxx กิโล

สรุป เรื่องอาการสั่นสะเทือนมันเกิดจากการขันฝาสูบแน่นจนเกิน ( ตอนหลังฮอนด้าก็ออกมารับเอง อย่างที่ผมคิดเอาไว้แต่แรกเลย ) ไปมันทำให้กำลังอัดในห้องเผาไหม้รวมไปถึงอุณภูมิสูงจนเกินไป ทำให้เครื่องดับกลางอากาศและผลที่ตามมาคือทำให้ตัวรถค่อนข้างสั่นสะเทือนเมื่อใช้รอบสูงและทำให้แฟริ่งต่างๆ มีเสียงดังอันเนื่องมาจากผลกระทบดังกล่าว และพวกหมุดพลาสติกที่ยึดแฟริ่งและน๊อตหากขันไม่ดีมีสิทธิโยกคลอนได้เป็นบางตัว แต่ปัจจุบันปัญหาพวกนี้ผมได้แก้มันด้วยมือของผมเองเพราะผมอยู่ต่างจังหวัดและหาช่างที่มีความรู้ความเข้าใจจริงๆ ได้ยาก ผมจึงต้องทำด้วยตัวเองมาตลอด ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร

ประมวลภาพเหตุการณ์และอาการเจ็บป่วยครั้งต่างๆ ที่ผ่านมา ( ภาพอาจจะไม่ครบตามเหตุการณ์ )







บันทึกการเข้า
atthaphon_s
หักซ้าย หักขวา ไม่มีล้ม
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 288



« ตอบ #4 เมื่อ: 18, กุมภาพันธ์ 2014, 08:51:22 PM »


ประวัติการบำรุงรักษาต่างๆ

1.   เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกๆ  2500-3000 กิโล
2.   ตรวจเช็คความตึงหย่อนโซ่ทุกๆ 1000 กิโล ( ตั้งแต่ทำมา เพิ่งจะตั่งโซ่แค่หนเดียว ทนจริงๆ ไม่มีแววจะยืดเลย ) และทำการหล่อลื้นทุกครั้งที่ตรวจเช็ค อันนี้สำคัญ โซ่กับสเตอร์จะอยู่ทนอยู่นานอยู่ที่การหล่อลื้นและทำความสะอาด หากพบว่ามีดินมีฝุ่นเกาะเยอะให้เอาน้ำมันสนล้างและเช็ดให้แห้งและใช้น้ำมันเครื่องหรือสเปรย์จารบีหล่อลื้นเป็นอันจบ แค่นี้ข้อโซ่ก็จะไม่ตายและเป็นการใช้งานโซ่สเตอร์ได้แบบคุ้มค่า
3.   ล้างรถ ในช่วงแล้งล้าง+ลงแว๊กและน้ำยาขัดยางเดือนละครั้ง ที่เหลือปัดฝุ่นเอาอาทิตย์ละครั้ง
4.   ตรวจเช็คลมยางทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน เพื่อความประหยัดน้ำมันและเพื่ออายุการใช้งานของยางและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
5.   เปลี่ยนถ่ายน้ำหล่อเย็นปีละ 1 ครั้ง
6.   ทุกครั้งที่เปลี่ยนผ้าเบรกเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกทุกครั้ง เพราะน้ำมันเบรกพวกนี้มันสามารถเสื่อมสภาพและตกตะกอนได้ ผมก็เลยเอาเป็นว่า ถ้าเปลี่ยนผ้าเบรกก็เปลี่ยนน้ำมันเบรกไปเลยแล้วกัน
7.   หลีกเลี่ยงการการจอดรถตากแดด (ถ้าทำได้)
8.   เปลี่ยนใส้กรองอากาศทุกๆ 30000 กิโล
9.   เปลี่ยนหัวเทียนทุกๆ 30000 กิโล
10.   เช็คระยะห่างของวาล์ว ทุกๆ 30000 กิโล ( ล่าสุดเช็คมาระยะห่างเท่าเดิม เลยไม่ต้องตั้งใหม่ )
นี่คือการดูแลรถของผมแบบคร่าวๆ บางคนอาจจะงงว่าทำไมไม่ตรงกับสมุดตารางบำรุงรักษา นั่นเป็นเพราะสภาพการใช้รถของแต่ละคนและสภาพพื้นที่ๆ ไม่เหมือนกัน  ส่วนตารางบำรุงรักษานั้นเป็นเหมือน “Guild ” ซึ่งผมก็เอามาปรับเปลี่ยนเองตามสภาพซึ่งผมจะพิจราณาจากหลายๆ เรื่อง สาเหตุที่ผมเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่ 2500-3000 กิโล นั่นเพราะน้ำมันเครื่องจะยังคงประสิทธิภาพได้ดีอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว และเมื่อเกินจากระยะเวลานั้นไปแล้วเกียร์จะเริ่มแข็งและเข้ายากเครื่องเวลาบิดแล้วรู้สึกกระด้าง ผมใช้วิธีปรับเปลี่ยนมันให้เข้ากับตัวผมเอง ( หากไม่มีความรุ้ความเข้าใจควรทำตามคู่มือจะดีกว่า )

การดูแลและบำรุงรักษาทำด้วยมือตัวเองล้วนๆ ช่างศูนย์แทบจะไม่ได้แตะต้องมันเลยตั้งแต่มันก้าวออกจากศูนย์
 







บันทึกการเข้า
atthaphon_s
หักซ้าย หักขวา ไม่มีล้ม
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 288



« ตอบ #5 เมื่อ: 18, กุมภาพันธ์ 2014, 08:51:46 PM »

ค่าใช้จ่ายประจำขณะที่ใช้รถ

1.   ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง เฉลี่ยเดือนละ 1200บาท ( วิ่งเดือนละประมาณ 1000-1200กิโล ) ปีนึงตกราวๆ 14400บาท โดยประมาณ ( บางครั้งก็ใช้ E20 บางครั้งก็ 95 เพียวๆ )
2.   ค่าทะเบียน พรบ ต่างๆ ตกปีละ 750บาท ( ประกันธรรมดา และรวมค่าต่อทะเบียนแล้ว )
3.   ค่าน้ำมันเครื่องและใส้กรองน้ำมันเครื่อง ( ของผมเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง 2 ครั้ง ต่อใส้กรอง 1 ครั้ง ) ผมเปลี่ยนทุกๆ 2500-3000กิโล ตายตัว โดยผมใช้ ปตท สังเคราห์ โดยจะซื้อมาปีละ 1 ลัง ( ปีนึงหมดพอดี ) ราวๆ ปีละ 1,480 บาท
4.   ผ้าเบรกหน้าและหลัง ราวๆ ทุกๆ 14000 กิโล ( มักจะหมดประมาณนี้แหละ ) ผ้าเบรกหน้าหลัง ตกเปลี่ยนทีครั้งละ 1,680บาท ( ปีนึงผ้าเบรกหมดคู่นึง ว่างั้น ) และทุกครั้งที่เปลี่ยนผ้าเบรกจะถ่ายน้ำมันเบรกใหม่ด้วย 60บาท
5.   ถ่ายน้ำหล่อเย็นทุกๆ 12 เดือน ครั้งละ 90บาท
6.   ใส้กรองน้ำมันเครื่อง ราวๆ 5000 กิโล ต่อ 1 ครั้ง ราคา 90บาท ( ครบ 1 ปี เปลี่ยนประเก็นฝากรองน้ำมันเครื่อง 1 ครั้ง 39บาท )
7.   ค่าน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ จำไม่ได้ว่าอะไรบ้าง แต่รวมๆ ตกปีละประมาณ 1400บาท
ค่าใช้จ่ายประจำของผมมีอยู่เท่านี้ ซึ่งรถคันนี้ใช้เดิมๆ ไม่มีการดัดแปลงสภาพแต่อย่างใด เฉลี่ยแล้วค่าใช้จ่ายประจำที่ใช้รถไปโดยประมาณตกปีละ 19000-22000บาท ซึ่งรายได้ของผมเฉลี่ยตกปีละแค่ 150,000บาท เท่านั้น ที่เหลือไปคิดเอาเอง ซึ่งค่าใช้จ่ายพวกนี้มันก็แล้วแต่ว่าใช้รถมากน้อยเพียงใด และตารางการบำรุงรักษาของผมนั้นอาจจะไม่เหมือนกับของคนอื่นโดยพิจราณากันไปตามสภาพการขับขี่และพื้นที่ๆ ใช้งาน  ในที่นี้ยังไม่รวมรายการอะไหล่บางอย่างที่เปลี่ยนไปเป็นบางชิ้น นี่พิจราณาเฉพาะรายจ่ายประจำทั่วๆ ไม่นับเรื่องค่าปะยางและอื่นๆ ไปก่อน และมีรายจ่ายที่นอกเหนือไปจากนี้ คือ
1.   เปลี่ยนหัวเทียนครั้งแรกเมื่อ 30,000 กิโล 580บาท
2.   เปลี่ยนยางเมื่อตอน 14xxx กิโล ( จะไม่ขอทนกับอาการแบบนี้อีกต่อไป ) โดนค่าตัวไป 9300บาท รวมเปลี่ยน
3.   ค่าใส้กรองอากาศโดนไป 280บาท เปลี่ยนตอน 30000 กิโล
4.   หลอดไฟหน้าเปลี่ยนเมื่อตอน 30000 กิโล ขับแซงสิบล้ออยู่ดีๆ หลอดขาดเฉย ขับรถกลับจากหาดใหญ่-ยะลา วิ่งไปมืดๆ ทั้ง 140 กิโลนี่แหละ ไปเบิกเอาของ Honda City ที่ศูนย์ Honda Car มาใช้แทน โดนไป 148 บาท ( ไปเอาที่ Honda มอไซด์ปาไป 380บาท ) แถมสว่างกว่าของเดิม
5.   บังโซ่เปลี่ยนตอน 31000 กิโล อันเนื่องจากความซู่มซ่ามของตัวเองขับรถไปทับปูนคอนกรีตที่แตกอยู่บนถนนและในคอนกรีตมีเหล็กเส้นปักเข้ายางไปเต็มๆ ขนาด 4mm พอปักเข้ายางไปฟาดกับบังโคลนไปเต็มๆ บังโคลนแบะสองซีกในทันที สรุปโดนค่าบังโคลนไป 170บาท
6.   เปลี่ยนชิวหน้าสีดำเบิกศูนย์เป็น accessory มา 480บาท
เป็นอันจบสำหรับค่าใช้จ่ายที่ผ่านๆ มานี่คือค่าใช้จ่ายที่แท้จริงในขณะที่ใช้รถ ซึ่งแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากันหากมีการเฉี่ยวชนหรืออื่นๆ หรือมีการดัดแปลงสภาพต่างๆ ค่าใช้จ่ายอาจจะแตกต่างไปจากที่เห็นนี้ แต่ที่แน่ๆ โซกับสเตอร์ของรถรุ่นนี้ทนได้ใจจริงๆ ใช้มาจะครบ 34000กิโลแล้ว ยังไม่งอแง ไม่มีทีท่าว่าจะยืด ตั้งแต่ซื้อรถมาตั้งโซ่แค่หนเดียวใช้กันมาจนถึงตอนนี้ นับว่าทนจริงๆ ( โดยขึ้นอยู่กับการดูแลและบำรุงรักษา )

รายการอะไหล่ที่เคยเปลี่ยนไปแล้ว และรายการอะไหล่สิ้นเปลืองที่เปลี่ยนเป็นประจำ






บันทึกการเข้า
atthaphon_s
หักซ้าย หักขวา ไม่มีล้ม
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 288



« ตอบ #6 เมื่อ: 18, กุมภาพันธ์ 2014, 08:52:18 PM »


คนอื่นๆ เขาแต่งรถกันสวยๆ แรงๆ กันทั้งนั้น ไม่คิดจะใส่เกียร์โยง ท่อ กล่องจูน บ้างหรือบลาๆ

      อันนี้มันเป็นความพอใจส่วนตัวและผมมีรสนิยมที่ว่า “ใช้รถเดิมๆ ดีกว่า” ใช้เดิมๆ เน้นทนๆ ถ้าอยากแรงกว่านี้ก็เก็บเงินไปซื้อตัวใหญ่กว่านี้มาขับจะดีกว่า แรงสะใจแน่นอนเครื่องยนต์ทนทานไม่ต้องจูนไม่ต้องดูแลบ่อยเหมือนพวกรถที่ดัดแปลงชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ( ก็เคยแว๊นมาแล้วรู้ดีอยู่แก่ใจ ) ส่วนเรื่องอุปกรณ์ตกแต่งหรือส่วนพ่วงต่างๆ ผมหมดวัยที่จะตกแต่งแล้วครับ และผมมองว่า ถ้าจะเอาเงินมาลงขนาดนี้ เอาค่างวดให้หมดก่อนดีกว่า เสียดายเงิน และที่สำคัญของเดิมๆ ติดรถบางชิ้นแพงกว่าของแต่งมากๆ และมีประสิทธิภาพดีกว่าของแต่งมากๆ ในแบบที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียวสำหรับบางชิ้น คือง่ายๆ ถ้าอยากให้อยู่ทนๆ ก็กรุณาใช้เดิมๆ แล้วจะดีเอง หรือถ้าอยากจะโก้เก๋ก็ทำไปตามแต่ใจท่านเงินในกระเป๋าเราใครจะทำไม ว่ากันไปตามนั้น ยิ่งท่อสูตร์ยิ่งแล้วใหญ่ ผมเป็นคนชอบรถเงียบๆ มากกว่ารถที่ท่อดังๆ อันนั้นตัดประเด็นไปได้เลย บางคนก็ว่าผมใช้รถแบบว่าเหมือนรถใช้งานเลย ไม่หาความแปลกใหม่ให้กับมันเลย สีก็เดิมๆ อุปกรณ์ก็เดิมๆ ก็แหง ทำสีผมก็ขี้เกียจไปแจ้งเปลี่ยนสี ใช้เดิมๆ นะดีกว่า และที่สำคัญ รถเดิมๆ จะขายได้ง่ายกว่า หากเป็นรถที่มีของแต่งมาแล้วต้องขายกับคนบางกลุ่ม เพราะสุดท้ายรถเดิมจะขาดทุนน้อยสุด ถึงต่อให้รถท่านจะแต่งมาหมดเงินไปเท่าไร ค่าของแต่งมันก็ไม่ได้คิดรวมไปด้วยหรอกนะ ( ต้องขายมือต่อมือกันเองถึงจะได้ราคา )  สุดท้าย อย่างรถเดิมๆ 127000บาท ขายมือสองสัก 80000 แต่อีกคันค่ารถ+ ของแต่งหมดไป 160000บาท สุดท้ายพอขายมือสอง ก็ต้องมาตั้ง 800000 เท่ากัน ถ้าตั้งราคาขายสูงกว่าขายนานโคตรๆ กว่าจะออก บางทีก็ขายไม่ออกเลยก็มี จนสุดท้ายต้องมาถอดแยกของแต่งไปขายจนเหลือรถเพียวๆ แต่เรื่องพวกนี้อยู่ที่ความพอใจ

การใช้งานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

  นับว่าเลือกมาไม่ผิดเพราะผมใช้งานในเมืองเป็นหลักและมันก็ตอบโจทย์ผมได้ครบทุกข้อเลยทีเดียว จริงๆ มันก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคน เพราะบางครั้งความพอใจมันไม่ได้อยู่ทีเงิน แต่กับผมแล้วผมไม่มีเงินถุงเงินถังขนาดเบื่อแล้วเปลี่ยนคันใหม่ได้ง่ายๆ รถคันนึงผมใช้ไม่ต่ำกว่า 4-5 ปี เป็นอย่างน้อย และการตัดสินใจอะไรสักอย่างต้องให้ชัวร์ที่สุดและต้องมองให้รอบด้าน ถ้าผมเป็นคนเงินเหลือ รถคันนี้อาจะไม่ใช่ตัวเลือกสำหรับผมก็ได้ แต่สำหรับผมตอนนี้แล้วมันเป็นคู่ขาคู่ใจที่ดีจริงๆ ความเร็วของรถคันนี้ที่ใช้งานถ้าเป็นในเมืองก็ขับอยู่ราวๆ 60-100km/hr ยกเว้นตอนไปต่างจังหวัดก็ 120+ แต่ไม่เกิน 150 ตามที่พละกำลังของรถจะรับได้ ยอมรับเวลาขับทางไกลหงุดหงิดบ้างเพราะแรงมันน้อย( เมื่อเทียบกับพวกที่ cc มากกว่า ) แต่ถ้าตอนอยุ่ในเมืองแล้วหละก็มันก็ไม่น้อยหน้าชาวบ้านเลยแม้แต่น้อย เครื่องยนต์ทนมือทนเท้าดีและที่สำคัญโซ่กับสเตอร์ตั้งแต่วิ่งมาเพิ่งจะตั้งไป 1 ครั้งเท่านั้น นับว่าทนเหลือใจ  เฉลี่ยปีนึงผมจะออกต่างจังหวัดไกลๆ ไปกลับ 1000กิโลขึ้นไป ปีนึงราวๆ 1-2 ครั้งและ ถ้าเป็นจังหวัดใกล้เคียงตกปีละประมาณ 10 ครั้ง โดยประมาณ ตอนนี้ไมล์รถ 34xxx แล้ว

ภาพเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อครั้งออกทริป ( บางส่วน )










บันทึกการเข้า
atthaphon_s
หักซ้าย หักขวา ไม่มีล้ม
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 288



« ตอบ #7 เมื่อ: 18, กุมภาพันธ์ 2014, 08:52:30 PM »

สุดท้ายสำหรับคนที่คิดจะอัพ cc

หากท่านเป็นคนเงินถึง จะขยับ cc ก็ย่อมทำได้ตามใจฉัน ( ถ้าใครที่ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินแต่แรกไม่ต้องอ่าน ข้ามไปได้เลย ) แต่หากเป็นคนงบน้อยที่จำกัดจำเขี่ย หากคิดจะขยับ หรือคิดที่จะเล่นรถที่มี cc สูงกว่าตั้งแต่แรกเลย บางทีดูกำลังตัวเองบ้างก็จะดีไม่น้อย ( จริงๆ จะซื้ออะไรก็ได้ กระเป๋าเงินท่านเองนี่) ใช่ ความสะใจย่อมได้มากกว่า บิดแล้วติดมือกว่าประสิทธิภาพอาจจะดีกว่ามาก แต่อย่าลืมคำนวณค่าใช้จ่ายดีๆ ประสิทธิภาพที่ดีกว่ามันย่อมมากับค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าเสมอ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วคงจะได้พบกับอาการ จอดมากกว่าขี่ ถึงเวลาดูแลแต่ละทีจ่ายค่าบำรุงรักษาไม่ไหว เจอค่างวดแต่ละทีก็แทบจะขาดใจ เกิดอุบัติเหตครั้งใดแทบจะขายรถทิ้งทันที เพราะรับสภาพไม่ไหว บางคนซื้อมาผ่อนได้แป๊บๆ สุดท้ายก็ทนค่าใช้จ่ายไม่ได้ ก็ต้องขายดาวทิ้งกันไป เสียเงินเสียทองไปอย่างเปล่าประโยชน์ รถแต่ละคันไม่ใช่ถูกๆ และสำหรับผมแล้วรถผมไม่จัดเป็น “ทรัพย์สิน” แต่ผมจัดใหนหมวดของ “หนี้สิน” เพราะมันเป็นสิ่งที่เราต้องจ่ายตลอดเวลาไม่ว่าคุณจะซื้อสดซื้อผ่อน ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพบ  แต่เราเลือกได้ว่าจะจ่ายมากหรือจ่ายน้อยตามกำลังก็ว่ากันไป ไม่งั้นจะกลายเป็นว่า มีเงินเติมน้ำมนรถ แต่เจ้าของรถกินแต่มาม่า มันก็ไม่มีประโยช์อะไรเลย สุดท้ายถึงต่อให้ประคองผ่อนรถหมดคุณก็จะได้รถเก่าๆ มา 1 คัน กับเงินเก็บอันน้อยนิด เพราะผมเจอแบบนี้มาเยอะแล้วขอบคุณที่เสียเวลานั่งอ่านสำหรับชาวสองล้อ หลังจากบทความบทนี้แล้วหลายคนคงจะมีตัวเลือกในใจขึ้นมาแล้วแน่ๆ อย่างน้อยๆ หนึ่งตัวสำหรับการจะหาคู่ขาคู่ใจคันใหม่ ให้คิดซะว่าเป็นการเล่าสู่กันฟังก็แล้วกัน และสุดท้ายแล้วอย่าลืมว่าถึงเราจะผ่อนรถส่งค่างวดจนหมดปิดยอดมาได้ แต่คุณก็จะได้แค่รถเก่าๆ กับความทรงจำที่อาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ และสุดท้ายรถทุกรุ่นทุกยี่ห้อขายต่อราคามันก็ตกเหมือนๆ กันหมดอยู่แล้ว มันไม่ใช่บ้านหรือที่ดินที่พอนานไปมีแต่มูลค่าที่จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ยังไงซะก่อนจะเลือกรถมาใช้งานสักคัน ศึกษาข้อมูลสักนิดก่อนตัดสินใจซื้อ

สภาพรถในปัจจุบันในแบบพื้นๆ เดิมๆ และยังไม่ล้าง

โซ่แลสเตอร์ยังเหลืออีกบาน ตั้งแต่ซื้อรถมาตั้งโซ่แค่ครั้งเดียวที่เหลือหล่อลื้นเอาก็ใช้มาจนถึงทุกวันนี้เสียงเงียบไม่ดังหนวกหูเหมือนคันอื่น

ยางรุ่นนี้ใช้ดีมากๆ มันคือ Dunlop Alpha 12 เกาะหนึบเป็นตีนตุ๊กแกเกาะถนนเลยไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออกมันก็ยังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยมแม้ราคาค่าตัวจะสูงเกือบหมื่นก็ตาม แต่มันทำให้เราสามารถควบคุมรถได้อย่างปลอดภัยและเอาอยู่ตลอดทุกเส้นทาง สภาพเปลี่ยนเมื่อตอน 14xxx ตอนนี้วิ่งมา 34xxx แล้ว นับว่าคุ้มค่า  หลายคนเคยถามว่า คู่ละเกือบหมื่นมันจะไปคุ้มห่าอะไรว่ะ  ผมมักจะตอบไปว่า  ถ้ายางไม่มีคุณภาพมันก็เท่ากับคุณเตรียมตัวซื้อโลงศพตั้งไว้ที่บ้านได้เลย จริงๆ ยางมันก็แค่ส่วนนึงแต่ความประมาทและความคึกคะนองเป็นส่วนผลักดันให้เกิดอุบัตเหตุมากกว่าแม้ว่ายางจะดีแค่ใหนก็ตาม แต่หากเราได้ยางดี หากเกิดสภาวะฉุกเฉินและคับคัน และยางยังสามารถรักษาระยะเบรก โดยที่ไม่สบัดและยังทำให้เราสามารถประคองรถต่อไปได้ มันก็เพิ่มโอกาสการรอดชีวิตของเราไปได้มากกว่าครึ่ง เป็นการต่อชีวิตไปอีกวัน เพราะอย่าลืมว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ไม่ตาย ก็พิการ เบาๆ ก็ถลอกปอกเปิก รถพัง ลองมาคิดให้ดีๆ มันก็ไม่คุ้มแล้ว ยาง 9000บาท  ลองคิดแค่ว่าตอนเราล้มรถเราอยู่ในสภาพที่ทำงานไม่ได้สัก 1-2 เดือน บางคนเงินเดือน 30000-40000บาท ก็เท่ากับต้องเสียรายได้ตรงนั้นไป มันไม่คุ้มกับยางเส้นเดียวจริงๆ แนะนำ ขับรถบนความไม่ประมาท อุปกรณ์ต่างๆ เบรกและยางนั้นสำคัญเอาให้ครบๆ แล้วจะปลอดภัย

คราบฝุ่นและรอยตีนกาตามซอกต่างๆ










สภาพโดยรวม





บันทึกการเข้า
หมาเฝ้าบอร์ด
ครอบครัวมาก่อนเสมอ
CBR Moderator
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8,594


นี้มันลูกลิงชัดๆ

819078776 thahnandorn@hotmail.com cbr150club.com cbr150club.com
เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: 18, กุมภาพันธ์ 2014, 09:46:11 PM »

นานๆจะเห็นเข้ามาตอบซักที เล่นซะอ่านกันตาลายเลย ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ ;) ;) ;)
บันทึกการเข้า

ohmmie
ขี่ชิลๆ เน้นชมสาวว
หักซ้าย หักขวา ไม่มีล้ม
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 168



อีเมล์
« ตอบ #9 เมื่อ: 18, กุมภาพันธ์ 2014, 10:00:07 PM »

สุดยอดไปเลยครับ  >coooool    เด็กบางคนที่ผมเห็นนี่อายุยังน้อยเรียน ม.ต้น ม.ปลาย ขอตังพ่อแม่ซื้อ บิ้กไบค์คันใหญ่ๆโดยไม่คำนึงถึงหัวอกพ่อแม่ว่าพ่อแม่เป็นห่วง แล้วก็ขับขี่แบบห้าวๆ เจอถนนยังไงใส่ให้หมดปลอก ผมก็สงสารพ่อแม่เค้าจริงๆเลยครับ  l8
บันทึกการเข้า

atthaphon_s
หักซ้าย หักขวา ไม่มีล้ม
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 288



« ตอบ #10 เมื่อ: 18, กุมภาพันธ์ 2014, 10:08:20 PM »

นานๆจะเห็นเข้ามาตอบซักที เล่นซะอ่านกันตาลายเลย ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ ;) ;) ;)

หลังๆ ไม่ค่อยว่างเข้ามาเท่าไรครับ
บันทึกการเข้า
Golf410spk
"Seals อดีตที่สวยงาม"
I'm CBRsCLUB
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,325


< Spirit Of Rider. >


อีเมล์
« ตอบ #11 เมื่อ: 18, กุมภาพันธ์ 2014, 10:11:46 PM »

อ่านแล้วเพลินมากครับ  และได้แง่คิดดีๆเยอะแยะเลย  

ขอบคุณครับ

 !goodjob

บันทึกการเข้า
atthaphon_s
หักซ้าย หักขวา ไม่มีล้ม
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 288



« ตอบ #12 เมื่อ: 18, กุมภาพันธ์ 2014, 10:13:08 PM »

สุดยอดไปเลยครับ  >coooool    เด็กบางคนที่ผมเห็นนี่อายุยังน้อยเรียน ม.ต้น ม.ปลาย ขอตังพ่อแม่ซื้อ บิ้กไบค์คันใหญ่ๆโดยไม่คำนึงถึงหัวอกพ่อแม่ว่าพ่อแม่เป็นห่วง แล้วก็ขับขี่แบบห้าวๆ เจอถนนยังไงใส่ให้หมดปลอก ผมก็สงสารพ่อแม่เค้าจริงๆเลยครับ  l8

บทความนี้ เขียนมาเพื่อการนี้แหละครับ อย่างน้อยๆ จะได้ฉุดคิดสักนิดนึง คือ ถ้าบ้านรวยก็ไม่ใช่ปัญหา แต่บางคนรายได้แทบจะไม่พอจ่าย ไปเอาตัวใหญ่มามีแต่จะอวกแตก เพราะบางคนมองแค่ค่าตัวรถและค่างวดมันไม่ต่างกันเท่าไร ไม่ได้มองถึงรายจ่ายประจำ และพอได้มาครอบครองแล้วถึงได้อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กับเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ผมก็เจอแบบนี้มาเยอะครับ ลูกบอกจะเอาให้ได้ พ่อแม่ก็ดันไม่กล้าจะขัด แต่สุดท้ายก็ต้องเป็นหนี้( ถ้าบ้านไม่รวยพอ ) สุดท้ายค่าของแต่งเอย ค่าน้ำมันเอย ค่าอะไรบลาๆ พ่อแม่จ่ายให้ล้วนๆ  คือ ถ้าคนที่เก็บเงินทำงานหาเงินแล้วซื้อเองรับผิดชอบเองอันนี้ก็ไม่เท่าไร

อีกอย่างรถใน 1 ปีแรกไม่ค่อยมีอะไรเสียหรอกครับ ถ้าไม่ได้ใช้งานอย่างผิดวิธีหรือดัดแปลงสภาพ แต่มันจะเริ่มมาออกลายสัก 2-3 ปีหลังนี่แหละแล้วจะรู้เลย
บันทึกการเข้า
atthaphon_s
หักซ้าย หักขวา ไม่มีล้ม
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 288



« ตอบ #13 เมื่อ: 18, กุมภาพันธ์ 2014, 10:15:54 PM »

ยางตัวที่ผมใช้อยู่ตอนนี้ ทั้งนิ่มและนุ่ม ขนาดไม้จิ้มฟันยังแทงเข้าเลย ( เคยโดนมาแล้ว ) นั่งหัวเราะกับเพื่อนแทบตายไม้จิ้มฟันแทงยางทะลุได้ พอดึงออกลมก็ค่อยๆ รั่ว สุดท้ายก็เอาไปปะ ร้านถามไปโดนอะไรมาครับ พอเห็นไม้จิ้มฟันปักอยู่ก็ขำกันทั้งร้านเลย
บันทึกการเข้า
atthaphon_s
หักซ้าย หักขวา ไม่มีล้ม
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 288



« ตอบ #14 เมื่อ: 18, กุมภาพันธ์ 2014, 10:38:42 PM »

อ่านแล้วเพลินมากครับ  และได้แง่คิดดีๆเยอะแยะเลย  

ขอบคุณครับ

 !goodjob



ที่ผมทำบทความนี้ขึ้นมาเพราะน้องๆ หน้าใหม่ถามกันมาเยอะ บางทีผมก็ขี้เกียจอธิบาย เลยทำเป็นกระทู้ไปเลย อย่างน้อยๆ มีปัญหาอะไร คนอื่นอาจจะได้รับประโยชน์บ้าง  ยังไงก็ขอบคุณที่ติชมครับ
บันทึกการเข้า
yocbr150
หัวใจมันนำทางมา ให้รักกับเจ้าสองล้อ ^^
หักซ้าย หักขวา ไม่มีล้ม
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 165


ผมรักมอเตอร์ไซค์


อีเมล์
« ตอบ #15 เมื่อ: 19, กุมภาพันธ์ 2014, 12:23:25 AM »

 !hoehoe !hoehoe !hoehoe

ขอบคุณมากครับ สำหรับ แนวคิดดีๆ  พี่เขียนแทงใจดำผมมาก  !hoehoe กำลังคิดจะขยับอยู่เลย  แต่ลืมไปว่า เราผ่อนรถ เติมน้ำมัน
แล้วต้องมานั่งกินมาม่า มันก็ไม่ใช่   !goodjob

ขอบคุณสำหรับแง้คิดดีๆครับ
บันทึกการเข้า
atthaphon_s
หักซ้าย หักขวา ไม่มีล้ม
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 288



« ตอบ #16 เมื่อ: 19, กุมภาพันธ์ 2014, 01:29:26 AM »

!hoehoe !hoehoe !hoehoe

ขอบคุณมากครับ สำหรับ แนวคิดดีๆ  พี่เขียนแทงใจดำผมมาก  !hoehoe กำลังคิดจะขยับอยู่เลย  แต่ลืมไปว่า เราผ่อนรถ เติมน้ำมัน
แล้วต้องมานั่งกินมาม่า มันก็ไม่ใช่   !goodjob

ขอบคุณสำหรับแง้คิดดีๆครับ


ดีแล้วครับ ใจลึกๆ ผมก็อยากขยับนะ แต่พอมานั่งคำนวนค่าใช้จ่ายเล่นๆ เลยถอยดีกว่า  ปกติผมจะมีวิธีตรวจสอบตัวเองว่าไหวหรือไม่ก็คือ  สมมุติ รถคันที่จะซื้อ ดาวเท่าไร ผ่อนเท่าไรต่อเดือน สมมุติผ่อน 4000 ต่อเดือน ผมก็ใช้วิธีเก็บเงินเดือนละ 6000บาท ( สมมุตว่าเป็นค่าน้ำมั.+ค่างวดนรถคันนั้นๆ โดยประมาณการ ) และดูอาการตัวเองสัก 4-6 เดือน  ถ้าตัวเองยังมีปัญญาซื้อข้าวกินอิ่ม นอนหลับสบาย มีเงินจ่ายไม่ขาดมือ ถ้าแบบนี้ก็ซื้อได้เลย แต่ถ้าลองแล้วไม่เข้าท่า ผมก็มักจะหยุดความคิดตัวเองไว้เลยเพราะรู้แล้วว่าไม่ไหว  5555+
บันทึกการเข้า
Krakov
ขออภัย...มือใหม่หัดขับ
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20



« ตอบ #17 เมื่อ: 19, กุมภาพันธ์ 2014, 02:28:08 AM »

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เลยยังขับเวพอยู่ 555 อีกไม่นานผมน่าจะหา150มือสองได้
ตอนนี้พอใจกันค่าน้ำมันเดือนละไม่ถึงพัน แต่วิ่งแค่80นี่ไม่ไหว บางทีรถโล่งๆก้อยากกลับบ้านเร็วขึ้นนิดหน่อย
บันทึกการเข้า

You may stop me but you can't make me. You might convince me but you can't change me. I choose my way and I shall do. I either find the way or make it.
atthaphon_s
หักซ้าย หักขวา ไม่มีล้ม
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 288



« ตอบ #18 เมื่อ: 19, กุมภาพันธ์ 2014, 03:52:20 AM »

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เลยยังขับเวพอยู่ 555 อีกไม่นานผมน่าจะหา150มือสองได้
ตอนนี้พอใจกันค่าน้ำมันเดือนละไม่ถึงพัน แต่วิ่งแค่80นี่ไม่ไหว บางทีรถโล่งๆก้อยากกลับบ้านเร็วขึ้นนิดหน่อย


ใช่แล้ว อยากใช้รถอย่างสบายใจ มีความสุข มีเงินเหลือเที่ยวเหลือใช้ แนะนำให้ใช้ความอดทน แล้วจะสบายครับ
บันทึกการเข้า
jamesgot
not the best but also not the worst
I'm CBRsCLUB
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 626



เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #19 เมื่อ: 19, กุมภาพันธ์ 2014, 05:15:25 AM »

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆมากๆเลยนะครับ อ่านเพลินมากๆครับ  !goodjob
บันทึกการเข้า

ชื่อ เจมส์ ครับ เรียนศิลปศาสตร์ ENG อยู่ เทคโนราชมงคล โคราช                ฝากตัวด้วยนะครับ ^^
หน้า: [1] 2   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  



หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.063 วินาที กับ 23 คำสั่ง