เยอะไปหมดทั้ง Engine Brake, Shift-Down, Back-torque ว่าแต่มันคืออะไร ?ก่อนจะลงไปเจาะว่า ตกลง Engine Brake ใช้ยังไงต้องไปดูว่า Engine Brake คืออะไรแล้วมายังไงก่อน ... ถ้าเอาแบบสั้นๆ "แรงเอ็นจิ้นเบรก" คือแรงตรงข้ามกับ "อัตราเร่ง" เกิดขึ้นจากความแตกต่างระหว่างความเร็วของล้อหลัง และรอบการหมุนของเครื่องยนต์ นี่คือที่มาของแรงอัตราเร่ง และเอ็นจิ้นเบรกครับ ...แต่ระหว่างทางจากเครื่อยนต์มาที่ล้อกำลังที่ว่านี้ ยังต้องผ่านคลัตท์ - ชุดเกียร์ และอัตราทดขั้นสุดท้าย หรือสัดส่วนระหว่างสเตอร์หน้า กับสเตอร์หลัง
ดังนั้นในชั้นต้นผมขอสรุปว่า "แรงเอ็นจิ้นเบรกกับแรงบิดที่เราใช้สร้างอัตราเร่ง เป็นแรงตัวเดียวกัน" มาจาก Torque เหมือนกัน แต่มีคำขยายเป็น Positive Torque (เร่งอัตราเร่ง) หรือ Negative Torque หรือ Back Torque ก็มีซึ่งสองคำหลังก็คือการพูดถึงเอ็นจิ้นเบรกนี่แหละ ทีนี้เมื่อมันเป็นเรื่องเดียวกัน ความหมายของมันไม่ใช่แค่การลดเกียร์อย่างที่เข้าใจ เพียงแค่คุณวิ่งด้วยความเร็วคงที่ค่าหนึ่งแล้วปิดคันเร่งทันทีนั้นก็เท่ากับคุณทำให้เกิดแรง Engine เบรกแล้ว ส่วนการลดเกียร์นั้นเป็นส่วนเสริมการทำงานของแรงเพื่อให้เราสามารถปรับหรือขยายแรงจากเครื่องยนต์ให้มีผลมากหรือน้อยได้ตามต้องการ อันนี้คือสาระสำคัญ
การมีชุดเกียร์และอัตราทดขั้นสุดท้ายนี่เองทำให้ ทำให้เราปรับแรงจากเอ็นจิ้นเบรกให้เข้ากับการใช้งานได้ง่าย เป็นการดึงประโยชน์ทางอ้อมจากเครื่องยนต์มาใช้ จนเป็นที่มาของ "การชิฟดาวน์" นำมาใช้กับการขี่รถเป็นเรื่องเป็นราว ... แต่ยังมีความเข้าใจผิดอยู่ประการหนึ่ง เหตุมันมาจากคำว่า "Engine Brake" นี่แหละ คนบางกลุ่มดันไปเข้าใจว่ามันคือ "เบรก" บางคนถึงขนาดบอกว่ามันเป็นอุปกรณ์การเบรกอย่างที่ 3 เลย ซึ่งไม่ใช่ครับ มันเป็นแค่ "ส่วนเสริม" เท่านั้นไม่ใช่อุปกรณ์หลักเหมือนเบรกหน้าและหลัง
ตัวอย่างต่อไปนี้จะทำให้คุณรู้จัก เอ็นจิ้นเบรกดีขึ้นครับ ตัวอย่างที่ 1.หาเส้นทางที่ปลอดภัยสถานที่ปิดที่สามารถทดลองได้ อุปกรณ์การขับขี่พร้อม วิ่งด้วยความเร็วคงที่สัก 30 กม/ชมด้วยเกียร์ 1 แล้วปิดคันเร่งให้หมด (ไม่ต้องใช้เบรกหน้าหลัง) คุณรู้สึกอะไร ?
ตัวอย่างที่ 2. ทำเหมือนเดิมตามข้ัอหนึ่งแต่เพิ่มความเร็วเป็น 40 และอัพเกียร์เป็นเกียร์ 2 พอได้ความเร็วคงทีแล้ว ก็ทำเหมือนเดิมปิดคันเร่งให้หมด แล้วจากนั้นสักครึ่งวินาทีต่อมาคุณลดเกียร์จากเกียร์ 2 > 1 แล้วปลอยคลัตท์ทันที คุณรู้สึกอะไร ?
ตัวอย่างที่ 3.ใช้ความเร็วเท่าเดิมตามตัวอย่างที่ 1 และ 2 แต่คราวนี้ เปลี่ยนเป็นเกียร์ 3 ดู เมื่อได้ความเร็วคงที่ที่เกียร์ 3 แล้ว ปิดคันเร่ง ลดเกียร์ ไล่ลำดับลงมาห่างกันช่วงละ ครึ่งวินาที จนถึงเกียร์ 1 เปรียบเทียบความรู้กับ 2 ตัวอย่างแรก คุณรู้สึกอย่างไร ?
อันนี้ทุกท่านไปหาคำตอบตามตัวอย่างกันเองนะครับ ผมจะว่าประเด็นต่อไปเลย FAQ : 1 . บางคนบอกว่า การใช้ Engine Brake ด้วยการ Shift-Down เกียร์ไปด้วยจะทำให้ระยะเบรกสั้นลง ?อันนี้ผมได้ยินมาเยอะและบ่อยมากๆ ตลอดช่วงตัี้งแต่ผมทำหนังสือจนถึงมาเป็นครูฝึกปัจจุบัน ก็ยังได้ยินอยู่ ขออธิบายแบบนี้ ใครที่เรียนคอร์สการขับขี่ไปแล้วไม่ว่าจะที่ไหนก็ตามที่เค้าเปิดอบรม ระหว่างที่คุณทดสอบการเบรกในสถานีเบรกเพื่อให้ได้ระยะทางที่สั้นที่สุด
ข้อห้ามสำคัญคืออะไรครับ ? "ห้ามกำคลัชต์หรืออมคลัชต์" ใช่ไม๊ ? ตอบ 1:
ย้อนไปที่การเบรก ระหว่างการใช้เบรกหลักคือเบรกหน้าและเบรกหลัง เหตุผลที่ห้ามกำคลัชต์ก็เพราะ ไม่ต้องการให้ล้อหลังเสียแรงเกาะกับผิวถนนระหว่างที่คุณใช้เบรก เนื่องจากเบรกหลังโดยหน้าที่มันทำหน้าที่เป็นหางเสือช่วงคุมทิศทางรักษาเสถียรภาพของรถระหว่างการเบรก
ถ้าคุณไปกำคลัชต์แรงขับจากเครื่องยนต์จะหายไป ทำให้เบรกหลังที่คุณกดอยู่ไม่มีแรงต้านผลที่ตามมาคือ"ล้อล๊อก" พอล้อล๊อกก็เหมือนกับลูกธนูไม่มีแผงขนที่หาง หรือเครื่องบินที่ไม่มีแพนหาง เหมือนเรือที่วิ่งไปโดยไม่มีหางเสือ จึงเป็นข้อห้ามการกำคลัชต์ขณะใช้เบรกหลัก
แต่ในการ Shift Down เกียร์ เราต้องใช้คลัชต์ตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วคราวเพื่อเปลี่ยนเกียร์ แต่ข้อดีมันก็กลายเป็นข้อเสียเพราะระหว่างที่คุณกำคลัชต์แรงเอ็นจิ้นเบรกจะหายไปจากล้อแม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แต่มันมีผล
พอเอาสองอย่างมาใช้รวมกันนี่แหละครับคือปัญหา !!!! เวลาเบรกไม่ใช้่คลัชต์แต่การเปลี่ยนเกียร์มันต้องกำคลัชต์ เอาละดิ ไงดีฟะเนี่ย ??? แล้วระยะเบรกจะสั้นลงจริงไม๊ ? แล้วจะเสียความมั่นคงในการเบรกหรือไม่ ? คำตอบของผมคือเอาการเชนเกียร์มาใช้ลักษณะเพื่อให้ระยะเบรกสั้นลงนั้นไม่ได้ครับ นั้นคือเราเข้าใจผิด เพราะไปคิดว่า Engine Brake คือ"ระบบเบรกอีกตัวหนึ่ง" แต่มันก็ไม่ใช่ครับที่มาที่ไปของสไตล์การเบรกแบบนี้มาจากการแข่งขันสมัยก่อน
สมัยก่อนตั้งแต่มีรถมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานติดเครื่องยนต์ยุคแรกๆ รถมีกำลังต่ำมากๆ คนออกแบบพยายามปรับปรุงให้กำลังเครื่องยนต์มีอัตราเร่งมากขึ้น แต่พัฒนาการของแรงม้าและแรงบิดช่วงแรกๆ นั้นมันช้ามาก วิศวกรจึงคิดระบบเกียร์ขึ้นมาใช้ เพื่อเพิ่มกำลังฉุดของเครื่องยนต์ให้มากขึ้นในช่วงที่ต้องใช้อัตราเร่ง ต่อมาเครื่องยนต์สองจังหวะเกิดขึ้นมาและพัฒนาการได้เร็วกว่ามากๆ แต่ข้อเสียของเครื่องสองจังหวะคือมันมีแรงบิดต่ำ ข้อดีคือทำรอบได้สูง วิศวกรจึงต่อยอดระบบเกียร์ให้เหมือนกันอุปกรณ์หม้อแปลงไฟฟ้าทำโวล์เตจน้อยๆกลายเป็นโวล์เตจสูงๆได้ อย่างขดลวดเทสล่าที่สามารถสร้างกระแสไฟบ้านธรรมดาให้มีความต่างศักย์ระดับเดียวกับฟ้าผ่าเป็นล้านโวล์ทได้ ชุดเกียร์ในเครื่องยนต์ก็ทำหน้าที่คล้ายๆกัน เปลี่ยนเครื่องยนต์ที่มีำกำลังน้อยๆ ให้เป็นเครื่องที่มีกำลังมากโดยแลกกันกับรอบการทำงาน
ถ้าคุณเคยขับรถสองจังหวะมาก่อนคงเข้าใจ ถ้าจะให้รถมีกำลังต้องถือรอบไว้สูงๆแล้วใช้เกียร์ตึงๆมือไว้ตลอดเวลา แล้วถ้ามีการลดความเร็วหรือเบรก กว่าจะเรียกรอบกำลังกลับมาได้ ก็ปั๊มรอบกันเกือบตาย นั้นแหละครับคือสไตล์ที่มาของการ "ชิฟดาว์น" ไปพร้อมกับการเบรก เพื่อให้เมื่อปลดเบรกแล้วสามารถชาร์จมีอัตราเร่งต่อได้ทันที ซึ่งสำคัญมากกับการแข่งขัน แต่พอมาใช้กับเครืืองยนต์ 4 จังหวะโดยเฉพาะในปัจจุบัน มันกลับกลายเป็นข้อเสียเพราะรถ 4 จังหวะแรงบิดสูงกว่ามาก การใช้สไตล์ปั๊มรอบลดเกียร์รอจังหวะชาร์จตัวของเครื่องสองจัวหวะ ทำให้เกิดแรงเบิดย้อนกลับส่วนเกินที่เราต้องการ (Back Torque) จำนวนมากมายบางคนเล่นเอาเกียร์แตกคามือไปเลยก็มี
ผมมีตัวอย่างให้คุณไปลองครับ ว่ามันสั้นลงจริงหรือไม่
ตัวอย่างที่ 4 : ให้คุณหาที่ว่างผิวถนนสะอาดปลอดภัยจากรถอื่นๆ หาไพลอนหรือมาร์คมาตั้งระยะจุดเริ่มเบรก(ตามภาพ) วิ่งด้วยความเร็ว 50 กม/ชม พอถึงจุดเบรกให้คุณปิดคันเร่งแล้วเบรกหน้าและหลังให้ได้ระยะเบรกสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วบันทึกผลเอาไว้ ทำซ้ำๆจนกว่าระยะเบรกคุณจะได้ค่าที่สั้นที่สุดโดยเฉลี่ย 4 ครั้ง โดยใช้เบรกหน้าหลังอย่างเดียวนะครับไม่ต้องเชนเกียร์
ที่นี้พอคุณได้ระยะเบรกเพียวๆ แล้วลองใหม่ครับเบรกให้ได้ระยะทางสั้นที่สุดด้วยความเร็วเดิมทุกอย่าง แต่เพิ่มการเชนเกียร์อย่างที่คุณสงสัยเข้าไปด้วย เอาให้ระยะเบรกสั้นที่สุด แล้วเอาผลมาเทียบกันดูครับ
ในรถทุกคันถ้าคุณไม่โกงปิดคันเร่งมาก่อนถึงจุดเบรก ด้วยความเร็ว 50 กม/ชมระยะเบรกฝึกมาดีแล้วจะได้ระยะสั้นที่สุดระหว่าง 11 ถึงไม่เกิน 15 เมตร(ในสนามแข่งที่มีผิวทางดีมาก)เรียกว่าไม่เกินไพลอนวัดระยะตัวที่ 3 แต่ถ้ายังไม่ชำนาญหรือผิวถนนไม่ดีนักจะอยู่ระหว่าง 15-20 เมตร แต่ไม่เป็นไรครับ เอาค่าที่คุณทำได้ดีที่สุด 4 ครั้งมาเฉลี่ยกัน แล้วเทียบกันดู
ถ้าคุณข้องใจอีกก็เทียบกันทุกวันครับ คุณก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองครับว่ามันสั้นกว่าจริงหรือไม่ แต่ถ้าไม่อยากลองผมเฉลยให้ ถ้าต้องการเบรกเพื่อหยุดรถจริงๆ เมื่อใช้การลดเกียร์ไปด้วยระยะเบรกจากยาวขึ้นกว่าเดิมประมาณ 15-30% เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้เบรกเพียวๆ โดยไม่ใช้เกียร์ครับ ดังนั้นจึงเข้ากันไม่ได้กับการเบรกเพื่อ "หยุดรถ" เพราะจุดประสงค์ของการชิฟดาวน์ระหว่างเบรกมีไว้เพื่อเรียกกำลังพร้อมที่จะชาร์จตัวต่อไปครับเช่นในช่วงเบรกก่อนเข้าโค้งพอพ้นโค้งไปแล้วก็ชาร์จตัวออกไปได้เลยไม่ต้องรอรอบหรือปั๊มเกียร์ใหม่ สุดท้ายใครยังใช้การเบรกแบบนี้เพื่อ "หยุดรถ" เปลี่ยนวิธีคิดโดยด่วนครับ
การใช้ Engine Brake ที่เหมาะสม
เนื่องจากมันเป็นเครื่องมือเสริม ดังนั้นการนำไปใช้งานก็ต้องใช้มันในลักษณะอุปกรณ์เสริม หลักสำคัญเวลาเอาไปใช้ก็คือ
1. ถ้าต้องการแรงเอ็นจิ้นเบรกไม่มากใช้การ "เปิด หรือปิดคันเร่ง"
2. ถ้าต้องการมากขึ้น "ใช้การเปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือลงเพื่อขยายแรงเอ็นจิ้นเบรก"
หลักสำคัญก็มีเท่านี้แหละครับสำหรับการใช้นอกสนามแข่งส่วนในสนามแข่งเขาใช้เพื่อจดประสงค์เดียวครับคือทำไงก็ได้ ให้เสียจังหวะหน่วงความเร็วให้น้อยที่สุด แต่เลี่ยงไม่ได้ก็ทำเพื่อให้เครื่องและเกียร์มีรอบกำลังมากที่สุดพร้อมที่จะกดออกไปได้ทันที ในการแข่งขันจึงซีเรียสขนาดต้องไปไล่อัตราทดเกียร์กันใหม่เลยที่เดียว (ระดับ GP)
ตัวอย่างการใช้งาน 1.ใช้งานในชีวิตประจำวัน "ช่วยลดภาระการเบรกของระบบหลัก"เช่น คุณกำลังวิ่งไปบนถนนไปเรื่อยๆ ข้างหน้าไฟแดง ไม่มีรถตามหลังระยะกระชั้นชิด คุณปิดคันเร่งปล่อยรถไหลไป แล้วค่อยๆ ลดเกียร์ตามลงมา เรื่อยๆ พอถึงไฟแดงคุณก็กดเบรกเพื่อหยุดรถตามปกติ
2.โค้งตามเขา ขึ้นลงทางชัึนบางคนคิดว่าจะใช้ Engine Brake เฉพาะตอนลงเขาเผื่อผ่อนภาระของระบบเบรกไม่ให้ทำงานหนักเกินไปเท่านั้น แต่จริงๆแม้แต่ทางโค้งบนเขาที่ไม่ชันมากก็ใช้ได้ วิธีการก็คือแทนที่คุณจะใช้เกียร์สูง คุณลดเกียร์ลงมาหาช่วงที่เหมาะสมกับความเร็วที่คุณใช้ เช่นผมประมาณแล้วว่าโค้งบนเขาช่วงนี้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ประมาณ 80 กม/ชม คุณก็หาช่วงเกียร์ที่ไม่ตึงหรือหย่อนเกินไป แล้วคุมคันเร่งแทน เช่นถ้าโค้งข้างหน้าคุณรู้แน่ๆว่า ต้องลดความเร็ว ก็ยกคันเร่งแต่เนิ่นๆ พอถึงโค้งก็ลดเกียร์(จะลดลงกี่เกียร์ก็แล้วแต่คุณเห็นว่าเหมาะสม) ไม่ต้องให้เกียร์ตึงปานจะขาดใจ แต่ก็ไม่หย่อนจนเป็นมะเขือเผา อย่างโค้งที่ผมชอบช่วงท่องเที่ยวทางเหนือเส้น "ขุึนยวม" ระยะทาง 66 กิโลแห่งคุณภาพ ความเร็วในโค้งเฉลี่ยประมาณ 60-90 ระดับเกียร์ 2-3-4 วนอยู่แค่นี้ ไม่ต้องใช้เบรก เน้นเปิด และปิดคันเร่ง ถ้าไม่พอลงเกียร์ช่วย ถ้าโค้งลึกจริงๆ ถึงจะใช้เบรก
ที่เหลือมันก็แล้วแต่คุณจะมีจินตนาการว่าจะเอามันไปเสริมกลยุทธการขี่ของคุณยังไง แต่ต้องระลึกไว้เสมอว่ามันเป็นอุปกรณ์เสริมไม่ใช่อุปกรณ์หลัก เพราะการใช้ Engine Brake หนักๆบ่อยเข้า จนเกิดความเสียหายกับเครื่องยนต์ มีความเป็นไปได้ที่ประกันเครื่องยนต์จะขาดนะครับ สำหรับเรื่อง Engine Brake ก็มีเท่านี้ครับ อ่านให้เข้าใจไม่ยากครับ สิ่งที่ถูกต้องมันคืออะไรขอบคุณข้อมูลจาก ครูต้อม GEAR7 Ducati DRE Instructor ครับ