เกียร์หรือเฟืองส่งกำลังจะติดตั้งอยู่ระหว่างคลัตช์กับเฟื่องทดชุดที่สอง
โดย เกียร์จะทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงอัตราทดของเฟืองให้เหมาะสมกับสภาพของภาระ ดังเช่นการเริ่มเคลื่อนที่ของรถจักรยานยนต์การเร่งความเร็ว การขึ้นหรือลงที่สูงชัน, สภาพผิวถนน,แรงดันลมยางและอื่นๆ ดังนั้นความเร็วและแรงบิดของเครื่องจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเพื่อ ให้เหมาะสมกับทุกสภาวะการขับขี่ดังนั้นเกียร์ของรถจักรยานยนต์จึงมีหน้าที่ เพิ่มหรือลดแรงบิดของเครื่องยนต์และเพิ่มความเร็วให้กับรถจักรยานยนต์ ซึ่งใน อดีตที่ผ่านมารถจักรยานยนต์ที่มีขนาดความจุกระบอกสูบไม่มากนักจะมีเพียง 3 – 4 เกียร์ แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนารถจักรยานยนต์ให้มีเกียร์เพิ่มมากขึ้นเพื่อเพิ่ม สมรรถนะและความเหมาะสมในการใช้งานให้ดียิ่งขึ้น
โดย ทั่วไปเกียร์ที่ใช้ในรถจักรยานยนต์ปัจจุบันเป็นแบบ คอนสแตนท์เมช (แบบขบกันตลอดเวลา) ซึ่งเกียร์แบบนี้จะขบกันและหมุนอยู่ตลอดเวลาแต่จะไม่มีการถ่ายทดกำลังงาน เพราะเฟืองเกียร์ที่ขบกันดังกล่าวลอยตัวอยู่บนเพลาอิสระจนกว่าจะมีการ เปลี่ยนเฟืองเกียร์ที่ทำหน้าที่เป็นเฟืองสะพานไปขบกัน จึงจะมีการถ่ายทอดกำลังงานจากเกียร์ผ่านเพลาเพื่อส่งไปใช้งานต่อไป
ส่วนประกอบที่สำคัญของชุดเกียร์มีดังนี้
1. เพลาเมนหรือเพลาเกียร์จะประกอบด้วยเฟืองขับและเฟืองเลื่อน
2. เพลาสเตอร์หรือเพลาขับล้อจะประกอบด้วยเฟืองลอยและเฟืองเลื่อน
3. ก้ามปูเกียร์ทำหน้าที่เขี่ยเฟืองเลื่อนเพื่อให้เฟืองแต่ละเฟืองขบกันทำให้ เกิดการส่งกำลัง
4. กลไกคันเกียร์ทำหน้าที่ให้ก้ามปูเกียร์ที่สวมอยู่ กับเฟืองเลื่อนเคลื่อนที่เฟืองเลื่อนจึงเคลื่อนที่ไปล็อคเฟืองเฟืองพลอยให้ ยึดติดกับเพลากาย ถ่ายทอดกำลังจึงเกิดขึ้น
ชุดกลไกคันเกียร์ซึ่งใช้มากกับรถจักรยานยนต์ทั่วไปคือลูกเบี้ยวแบบร่องเวียน
เมื่อคันเกียร์ ถูกงัดขึ้นหรือกดลงเพลาเปลี่ยนเกียร์จะหมุนบิดตัวทำให้เปลี่ยนเกียร์ทำงาน ปลายเพลาเปลี่ยนเกียร์เกี่ยวสลักปลายเพลาลูกเบี้ยวลูกเบี้ยวจะหมุนเมื่อลูก เบี้ยวหมุนร่องเวียนจะพาสลักก้ามปูเคลื่อนที่ไปด้านข้างในแนวก้ามปูจึง เคลื่อนที่ไปด้านข้างในแนวนอนด้วยเฟืองเลื่อนจึงถูกพาให้เลื่อนไปขบกับเฟือง คู่ที่ต้องการ การถ่ายทอดกำลังจึงเกิดขึ้น
ขอบคุณเว็ป mocyc.com ครับ ;)