ก่อนที่จะออกรถหรือขับขี่กันจริงๆต้องพูดถึง “ท่าทางการขับขี่” ที่ถูกต้องกันก่อน เพราะมันเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้สามารถควบคุมรถได้ง่ายและปลอดภัยขึ้น ในทุกๆสภาวะ โดยจะมีที่สังเกตอยู่ 7 จุดด้วยกันคือ
“
สายตา ” จะต้องมองไปข้างหน้าและกวาดสายตาไปเป็นมุมกว้างที่สุด สังเกตความเคลื่อนไหวต่างๆ อย่ามองเพียงจุดใดจุดหนึ่ง
“
ไหล่ ” ไม่เกร็งเพราะจะทำให้การบังคับควบคุมไม่ดี ให้ปล่อยไปตามธรรมชาติ
“
แขน ” ปล่อยตามธรรมชาติไม่ตึงหรือหย่อนจนเกินไป ข้อศอกไม่กาง
“
มือ ” จับตรงบริเวณกึ่งกลางปลอกแฮนด์ ข้อมืออยู่ในแนวเดียวกับแขน อย่าจับในลักษณะหักข้อมือ
“
สะโพก ” นั่งให้ได้ตำแหน่งพอดีกับการควบคุม ไม่เกร็ง ปล่อยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตัวรถ
“
เข่า ” หันไปทางด้านหน้ารถ ไม่กางออก หนีบถังน้ำมันให้กระชับเพื่อความมั่นคง
“
เท้า ” วางบนพักเท้าอย่างมั่นคงปลายเท้าชี้ไปข้างหน้าและวางอยู่บนคันเกียร์และแป้น เบรค
สำหรับท่าทางการขับขี่แบบชูคอ มือตั้ง หลังตรง เข่ากาง เท้าชี้พื้น ไม่อยู่ในสาระบบของการขับขี่แบบนักเลงมอเตอร์ไซค์ ส่วนการออกรถมือใหม่ที่ไม่เคยขี่รถคลัทช์มือมาก่อนมักจะ “ตั้งใจ” ในการใช้คลัทช์มากเกินไปจนทำให้เป็นปัญหา เทคนิคการใช้คลัทช์ออกตัวนั้นจะง่ายมากถ้าทำเป็นไม่สนใจมัน ค่อยๆปล่อยออกไปในลักษณะเหมือนให้สปริงคลัทช์ดันออกไปเอง เพียงแต่ใช้นิ้วช่วย “หน่วงเวลา” ไม่ให้สปริงมัน “ดีด” ออกไป พร้อมๆกับการเร่งเครื่องในจังหวะและปริมาณที่เท่าๆกันออกไป ยิ่งรถสมัยใหม่และออกแบบมาในคอนเช็พท์ให้ขี่ง่ายอย่าง NSR การปล่อยคลัทช์ออกตัวเป็นเรื่องง่าย อาจจะต้องสร้างความคุ้นเคยกับจังหวะเปิดของ RC วาล์วซึ่งจะทำให้เครื่องชะงักเหมือนจะดับไปเล็กน้อย (แต่จริงๆแล้วมันไม่ดับหรอก) สำคัญอยู่แต่เพียงเราต้องเตรียมพร้อมจะไปกับรถด้วยท่าการขับขี่ที่ถูกต้องใน ทันทีเท่านั้น ไม่ใช่ออกตัวด้วยความตกใจหรือให้รถพาไปตามบุญตามกรรม
เมื่อวิ่งได้ก็ต้องหยุดได้ “
การใช้เบรก” เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญมากที่สุด ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเบรกมันอยู่ตรงไหน เพียงแต่ว่าจะใช้อย่างไรให้มันปลอดภัยและถูกวิธี จะว่าไปในการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์นั้น เราจะใช้เบรกเมื่อต้องการลดความเร็วหรือหยุดรถ อาจจะพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่าเราเบรกก็เพราะว่ามีสิ่งที่เป็น “อันตราย” หรือสิ่งที่คาดว่าจะเป็นอันตรายอยู่ข้างหน้า แต่ก็ยังมีให้พบเห็นกันอยู่บ่อยๆว่า การเบรกของผู้ขับขี่บางคนกับสร้าง “อันตราย” ขึ้นมาเสียเอง ทั้งนี้เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนความชำนาญในการใช้เบรกอย่างถูกวิธีมาตั้งแต่แรก บางคนได้รับการสอนมาตั้งแต่ตอนหัดขี่รถใหม่ๆว่า “อย่าใช้เบรกหน้า” เนื่องจากมองว่าเบรกหน้านั้นเป็นของอันตราย แต่โดยแท้จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นเบรคหน้าหรือเบรคหลังก็เป็นอันตรายได้ทั้ง สิ้นถ้าหากเราใช้ไม่ถูกต้อง
สำหรับรถมอเตอร์ไซค์นั้นเราเคยบอกเอาไว้แล้วว่ามีเบรกอยู่ด้วยกัน 3 แบบคือ 1. เบรกหน้า เบรกหน้าเป็นเบรกที่ให้ประสิทธิภาพในการหยุดมากที่สุด ให้ระยะเบรกสั้นที่สุด นั่นหมายความว่าถ้าหากใช้อย่างถูกวิธีแล้วจะได้รับความปลอดภัยมากกว่า
2. เบรกหลัง เป็นเบรกที่มีประสิทธิภาพในการหยุดต่ำ ดังจะเห็นได้จากการทดลองซึ่งให้ระยะเบรกไกลที่สุด อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการลื่นไถลของล้อหลังอีกด้วย กว่า 80% ของการใช้เบรกหลังอย่างเดียว มักจะทำให้เกิดล้อหลังล็อคและเกิดการลื่นไถลจนเป็นอันตราย
3. เบรก เครื่องยนต์ การเบรกด้วยเครื่องยนต์จะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรกและเพิ่มความ ปลอดภัยสูงสุดในการเบรกแล้วทำอย่างไรล่ะเราถึงสามารถใช้เบรคได้อย่างปลอดภัยและ มีประสิทธิภาพสูงสุดนั่นก็คือ
การใช้เบรกทั้ง 3 อย่างถูกต้องในเวลาเดียวกัน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากพอสมควรสำหรับผู้ที่เข้าใจผิดมาตลอดหรือ ไม่คุ้นเคยจริงๆ โดยเฉพาะเบรคหลังซึ่งทำงานด้วยเท้านั้นจะมีความประณีตน้อยกว่าเบรคหน้าซึ่ง ทำงานด้วยมือ การเกิดล้อหลังล็อคจึงมีอยู่บ่อยๆถึงแม้ว่าจะใช้เบรคหน้าและเบรคหลังพร้อม กันก็ตาม ในเรื่องนี้ก็คงไม่มีวิธีใดดีไปกว่าการฝึกด้วยตนเองจนสามารถจับความรู้สึก ของล้อและน้ำหนักในการเบรคทั้งหน้าหลัง ที่เขาเรียกกันว่า “ฟิลลิ่งเบรก” ได้ โดยปกติเราจะใช้เบรกหน้ามากกว่าเบรกหลังคิดเป็นอัตราส่วนประมาณ 60/40 (เบรกหน้า 60% เบรกหลัง 40%) ลักษณะการใช้เบรคที่ถูกต้องคือค่อยๆเพิ่มน้ำหนักในการเบรคขึ้นไปทีละนิดๆจน รถหยุดอย่าใช้เบรคในลักษณะ “กระตุก” ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายได้
สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คืออย่ารีบกำคลัทช์ บางคนยกคันเร่งปุ๊บก็บีบคลัทช์ปั๊บซึ่งเป็นวิธีที่ผิด เราจะใช้คลัทช์ก็เมื่อรถใกล้จะหยุดเท่านั้นเป็นการช่วยเบรคด้วยเครื่องยนต์ ไปในตัว ในขั้นแรกนี้เรายังไม่ต้องไปยุ่งกับเกียร์ว่ามาเกียร์ไหน เบรกด้วยเกียร์นั้นจนรถหยุดแล้วค่อยว่ากันต่อ เมื่อชำนาญการใช้เบรกหน้า/หลังแล้วจึงเพิ่มการ “เชนจ์เกียร์” หรือลดเกียร์ลงตามลำดับความเร็วจนรถหยุดเป็นการใช้เบรกครบทั้ง 3 แบบตามตำรา
สรุปขั้นตอนการใช้เบรกมีดังนี้
1.เมื่อถึงจุดเบรคก็ให้ยกคันเร่งแล้วเริ่มเบรคโดยใช้ เบรคหน้ามากกว่าเบรคหลังในอัตราส่วน 60/40 (ห้ามบีบคลัทช์ปล่อยไหล ยกคันเร่งเมื่อไหร่ก็เบรกเมื่อนั้น)
2. บีบคลัทช์ ลดเกียร์ ปล่อยคลัทช์ (ลดทีละเกียร์ให้สัมพันธ์กับความเร็ว)
3. เมื่อรถใกล้หยุดจึงค่อยบีบคลัทช์เพื่อกันเครื่องดับแล้วเอาเท้าซ้ายลงยัน พื้น
อุปสรรคสำคัญของเบรคอย่างถูกต้องที่พบบ่อยที่สุดคือเบรค หลังมากจนล้อล็อคลื่นไถล สาเหตุมักจะมาจากใช้เบรกหลังมากเกินไปหรือใช้เบรกไม่นิ่มนวลพอ (ประเภทเท้าหนัก) คือเป็นไปในลักษณะ “กระทืบ” หรือ “กด” ไม่ใช่ “แตะ” นอกจากนี้ก็อาจจะเป็นเพราะว่าบีบคลัทช์เร็วเกินไปจนล้อหลังไม่มีแรงเฉื่อยก็ จะทำให้ล้อล็อคได้ง่าย เหมือนกับเวลาเราขึ้นขาตั้งคู่หมุนล้อแล้วเบรก ล้อก็จะหยุดทันที กับถ้าเราเข็นรถกับพื้นแล้วเบรกด้วยน้ำหนักพอๆกัน ล้อจะหยุดยากกว่า วิธีการแก้ไขก็คือ “บรรจง” ในการใช้เบรกมากขึ้นคือ ค่อยๆเพิ่มน้ำหนักในการเบรก (ทั้งหน้า/หลัง) โดยพยายามจับอาการที่ล้อว่าความเร็วขนาดนี้ เราใช้น้ำหนักเบรกแค่นี้ มันจะมากไปหรือน้อยไป
สิ่งสำคัญของการควบคุมรถที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ก็คือ เทคนิคการใช้คันเร่งซึ่งสามารถใช้ให้เราบังคับรถได้ง่ายขึ้นหลายคนคิดว่า บทบาทของคันเร่งมีเพียงใช้สำหรับเร่งเครื่องให้รถเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็ว หรือลดความเร็วเท่านั้น แต่ผู้ที่มีประสบการณ์หรือมีชั่วโมงบินสูงหน่อย คงจะพอสังเกตได้ว่า การใช้คันเร่งนั้นช่วยใช้ในการบังคับควบคุมรถง่ายขึ้น ปลอดภัยขึ้นโดยไม่รู้ตัว มันเป็นเรื่องค่อนข้างยากพอสมควรที่จะอธิบายถึงการใช้คันเร่งให้ถูกวิธี นอกเสียจากว่าจะลองลงมือฝึกฝนด้วยความสังเกตสังกาและเรียนรู้ด้วยตัวเองเรา สามารถบอกถึงความสำคัญและประโยชน์ของการใช้คันเร่งได้ แต่เราบอกไม่ได้ว่าเราควรจะใช้คันเร่งอย่างไรสำหรับช่วยควบคุมรถให้เหมาะสม กับสภาพการณ์ เพราะมันมีตัวแปรหลายอย่างเข้ามาร่วม เป็นต้นว่า ความเร็วของรถ สภาพทางวิ่ง ทิศทางของรถ หรือแม้กระทั่งน้ำหนักและกำลังของรถก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ประสบการณ์จากการฝึกฝนและเรียนรู้ด้วยตนเองจะเป็นพื้นฐานที่สามารถนำไป ประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ได้
ทำไมคันเร่งจึงช่วยในการควบคุมรถได้?เป็นคำถามที่ผมเดา เอาว่าน่าจะอยู่ในใจของหลายๆคน ทั้งๆที่รู้กันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าเมื่อพูดถึง “การบังคับควบคุม” แล้ว เรามักจะมองไปถึงระบบบังคับเลี้ยวหรือแฮนเดิ้ลบาร์ซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วการบังคับควมคุมนั้นหมายรวมถึงหลายๆอย่างที่เกี่ยวกับการ เคลื่อนที่และหยุดรถ ทั้งแฮนด์ คันเร่ง เบรก คลัทช์ ไปจนถึงเกียร์ ทั้งหมดนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับควบคุมทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น ขณะที่เราพารถเข้าโค้งด้วยความเร็วระดับหนึ่งจู่ๆ “เกียร์หลุด” ตกมาอยู่เกียร์ว่างซะเฉยๆ ร้อยทั้งร้อยถ้าเป็นจังหวะที่จะต้องเปิดคันเร่งแล้วต้องมีการเสียจังหวะแน่ นอน เพราะเกิดความไม่สัมพันธ์กันระหว่างความเร็ว คันเร่งและเกียร์
เราจะยกตัวอย่างอีกหนึ่งเหตุการณ์ซึ่งพบบ่อยที่สุดก็คือ การ บีบคลัทช์เข้าโค้ง ในจังหวะที่ยกคันเร่งเพื่อเข้าโค้งนั้น มักจะตามมาด้วยการบีบคลัทช์แล้วปล่อยไหลเข้าโค้ง จะปล่อยคลัทช์อีกทีก็ตอนที่ต้องการจะเร่งออกจากโค้งซึ่งในจังหวะนี้จะมี อาการ “กระตุก” หรือ “สะดุ้ง” เนื่องจากความไม่สัมพันธ์กันระหว่างรอบหมุนของเครื่องกับรอบหมุนของล้อหลัง อาการกระตุกหรือสะดุ้งนี้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความต่างกันของรอบเครื่อง และรอบล้อ ยิ่งรอบต่างกันมากอาการก็ยิ่งมาก อย่างเช่นโค้งเดียวกันความเร็วเท่ากันเข้าด้วยวิธีบีบคลัทช์ปล่อยไหลเหมือน กัน แต่ครั้งหนึ่งเข้าด้วยเกียร์ 2 กับอีกครั้งเข้าด้วยเกียร์ 3 ครั้งที่เข้าด้วยเกียร์ 2 จะมีอาการมากกว่า เนื่องจากรอบเครื่องหมุนเร็วกว่าความเร็วรอบของล้อมากกว่าเกียร์ 3
ที่มาจาก :
www.mocyc.com